คดีแปลกกับวันวานที่มิอาจหวนคืน : ไตรภูมิประหลาด Side Story
ไอ้ชม เด็กม.ต้นที่วอนนาบีอยากเป็นยอดนักสืบเหมือนนักสืบในการ์ตูนที่เขาชื่นชอบ แต่หารู้ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุด ได้จับพลัดจับผลูไปยุ่งเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมปริศนาจนไม่อาจจะลืมไปจวบจนวาระสุดท้าย
ผู้เข้าชมรวม
102
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
‘ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า สิ่งที่เราตามหามาตลอดมันจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวขนาดนี้’ เสียงในหัวของเจ้าหนุ่มน้อยที่ปรารถนาอันแรงกล้าจะสืบหาความจริงแท้ในเรื่องอันสุดหยั่งถึงไม่อาจเข้าใจได้ สิ่งเดียวที่ทำให้เขายึดมั่นในตอนนั้นคงจะมีเพียงประโยคนี้นี่แหละนะ
‘ถึงตัวจะเป็นเด็ก แต่ก็ขอเอาชื่อของปู่มาเดิมพันเลยเฟ้ยยยย’ แม้ว่าจะฟังดูแปลก แต่กลับกลายเป็นว่าดันสร้างความฮึกเหิมให้กับเจ้าบ้าอนิเมะนี่ได้อย่างแรงกล้าเสียเหลือเกิน
แต่ทว่าสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแค่อินโทรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเพราะว่าต่อจากนี้จะเป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มมัธยมต้นผู้ต้องการสืบหาสิ่งคาใจที่ไม่อาจแถลงไขได้โดยง่าย เอาล่ะ!! มาเริ่มกันเลยซึ่งไอ้เจ้าเด็กนี่ชื่นชอบการ์ตูนอนิเมะแนวไขปริศนา เรื่องที่เด่นๆ และเป็นที่รู้จักดี คือ “โคนะอิจิ ยอดนักสืบคดีปริศนา” เจ้านี่ชอบดูแบบเอาเป็นเอาตายไม่ว่าจะเป็นทริคต่างๆ ที่ใช้ในการสืบคดีจนไปถึงการตั้งข้อสังเกต สมมติฐานกับการวิเคราะห์ความเป็นไปได้จนช่ำชอง ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ก็มีการเล่นฟุตบอลซึ่งเก่งกาจระดับนักแข่งประจำจังหวัดเลยทีเดียว เนื่องจากตอนประถมเขาได้ฟิตซ้อมอย่างทรหดอดทนเสริมกำลังสร้างความว่องไวและแข็งแกร่งจากพ่อผู้เป็นนักเตะระดับทีมชาติในอดีตและเขาก็คือ
“ไอ้ชมเอ้ย!! ไปซ้อมรึยังวะ!! ถ้ามึงมัวแต่ดูการ์ตูนโง่ๆ ปัญญาอ่อนกูจะไปเตะปากมึงเดี๋ยวนี้แหละ!!” น้ำเสียงดุดันของผู้เป็นพ่อหลังจากตะโกนเรียกเสร็จก็กระดกเหล้าเข้าปากอย่างสบายอารมณ์
“เออ! จะไปแล้วน่าพ่อ!! ผมซ้อมทุกวันแหละ แต่ช่วงนี้โรงเรียนเขาไม่ให้ซ้อมเลยต้องไปที่สนามบอลในหมู่บ้านแทน!!” แม้ว่าชมจะหงุดหงิดแค่ไหนถ้าเขาหาญกล้าต่อปากต่อคำก็คงจะอยู่ในสภาพปางตายชัวร์ เนื่องด้วยลำแข้งอันทรงพลังของพ่อคงกระหน่ำเข้าใส่ตัวเขาเป็นแน่
“มันมีอะไรวะฮะ! โรงเรียนแม่งขี้งกไม่ให้มึงซ้อมหรอวะ ทั้งๆ ที่มึงเข้าไปเรียนก็จะขึ้นม.สามไหงแม่งเป็นงี้วะ! อึก อึก…!!” พูดจบเจ้าพ่อบ้าสุราก็เทเหล้าเข้าปากด้วยความเดือดดาล
“นี่พ่อไปอยู่ไหนมาละเนี่ย เอ้า! ดูทีวีนี่ซะ” หลังจากเจ้าหนูพูดจบไม่ทันไรพลางเดินไปเปลี่ยนช่อง
ช่องทางโทรทัศน์กำลังฉายภาพถึงรายการฟุตบอลสุดโปรดกลับแปรเปลี่ยน มีนักข่าวสาวกำลังแถลงการณ์บางอย่างที่ทำให้หูตาของบิดาบังเกิดเกล้าที่เมาหยำเปสว่างทันตาจากคำพูดอันจริงจังที่ไม่อาจทำให้ละสายตาได้
“ข่าวด่วนค่ะ!! ตอนนี้มีเหตุฆาตกรรมในโรงเรียนเบญจานุสรณ์ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมประจำเมืองมีนธานีโดยพบศพเด็กจำนวนสามราย สภาพศพเหมือนถูกสัตว์ร้ายขย้ำ แต่ทั้งนี้ก็ยังพบลายนิ้วมือของมนุษย์ทำให้ทราบได้ทันทีว่าฆาตกรเป็นคน นอกจากนี้ทางกรมตำรวจนครบาลจึงขอความร่วมมือให้ทางโรงเรียนในเขตเมืองมีนธานี งดการทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนเพื่อให้เด็กๆ กลับบ้านกันอย่างปลอดภัยทุกคนนะคะ ขอจบการรายงานข่าวเพียงเท่านี้ค่ะ”
หลังจากนักข่าวสาวกล่าวปิดรายการไม่นานและปรากฏตัวเลข "เวลา 16:30 น. วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2015" ไปไม่นานนัก พ่อของชมกลับหัวเราะเยาะเสียงดังลั่นแล้วกล่าวคำพูดหยาบคายออกมาสารพัดโดยเนื้อหาในนั้นทำให้ชมยืนฟังไม่ไหวเพราะมีแต่คำด่าถึงทั้งตำรวจแสนจะเหลาะแหละไม่อาจจับตัวคนร้ายได้ ทางโรงเรียนผู้ออกมาตรการไปทั่วทุกพื้นที่จนทำให้ชมไม่อาจไปซ้อมฟุตบอล จนไปถึงฆาตกรโฉดที่กล้าทำกับเด็กน้อยทั้งสามผู้ไร้เดียงสาซึ่งเด็กหนุ่มไม่อาจรับไหวได้ในเรื่องของพ่อตนที่กระทำตัวแบบนี้ไม่ใช่แค่ว่ามาด้วยกมลสันดานกลับมาจากการสูญเสียแม่หรือภรรยาสุดที่รักกับลูกสาวที่ไม่อาจได้ลืมตาดูโลกสร้างความไม่พอใจต่อโชคชะตาที่กลั่นแกล้งครอบครัว ก็มีเพียงเจ้าชมเท่านั้นแหละผู้เป็นแก้วตาดวงใจของตนอันเป็นเหตุผลของการกระทำที่ควบคุมบังคับชีวิตของเขาแม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่ยินดียินร้ายกับบิดาของตนเองก็ตามทีจนกระทั่งเขาได้ย่ำเท้าก้าวสู่สนามฟุตบอลแต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ทำให้เหล่าเด็กน้อยปั่นจักรยานเผ่นกลับบ้านโดยไม่ทราบสาเหตุ
“เฮ้อ ให้ตายซิ! พอมีเรื่องฆ่ากันตายติดกันมาสองวัน เราก็ต้องกลับไปดูการ์ตูนให้พ่อด่าอีกแล้วหรอวะเนี่ย….อืม เอาเถอะกลับก็ได้วะ จะว่าไปเจ้าเด็กสองคนนั้นเพิ่งเห็นอยู่แปปๆ เองไม่น่าเลย” เขาบ่นคนเดียวอย่างเศร้าสร้อยเสร็จไม่ทันไรขณะกำลังเดินกลับไปตามทางกลับบ้านที่ใช้ทุกวัน แต่ทว่าก็มีมือปริศนามาแตะบ่าเขาอย่างแรงจนเขาสะดุ้งตกใจ
“นี่เจ้าหนุ่ม อยากเป็นนักสืบหรือเปล่าล่ะ?” น้ำเสียงราบเรียบของบุคคลปริศนาสะกดให้เจ้าชมหันหลังกลับไปดูอย่างรวดเร็ว
“คะ…คุณเป็นใครหรอครับ?” เด็กหนุ่มพิจารณารูปร่างลักษณะของชายหนุ่มปริศนาที่สวมใส่เสื้อยืดสีขาวขอบแดงมีเสื้อกั๊กดำเข้มพร้อมทั้งสวมหมวกสีดำและแว่นดำอย่างเฟี้ยวเงาะซึ่งเข้ากับความเคร่งขรึมของเขา แต่หลังจากยืนคิดได้ไม่นานนักตัวของชายผู้ยืนอยู่ด้านหน้าของเขาก็โชว์ตราตำรวจที่ดูขลังและเปล่งประกายสะท้อนแสงสีทองขึ้นมา
“ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวคดีที่เกิดขึ้นอยู่ พอดีเห็นนายเดินผ่านมาและได้ยินที่นายกำลังพึมพำเมื่อกี้ช่วยมากับเราหน่อยได้ไหม?” น้ำเสียงที่อ่อนลงมาระดับหนึ่งที่เอ่ยด้วยคำพูดกึ่งบังคับที่ทำให้ไม่อาจปฏิเสธได้
“ได้ครับ....”
ต่อจากนั้นก็เดินติดตามตำรวจนอกเครื่องแบบโดยไม่ได้แสดงความสงสัยอะไรแม้ว่ามันจะแปลกตรงที่ตำรวจนอกเครื่องแบบที่ไหนถึงได้ไม่เชิญไปยังสถานที่ที่มีผู้คนอยู่เช่นสถานีตำรวจหรือร้านกาแฟที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น แต่กลับตรงดิ่งสู่โรงเรียนเบญจานุสรณ์ที่ปิดตัวลงชั่วคราวจากเหตุร้ายที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าหนุ่มน้อยเริ่มสงสัยขึ้นมาทั้งสองคนเดินผ่านเข้าไปยังบริเวณที่มีการสืบสวนซึ่งมีเทปแถบเหลืองสลับดำที่ใช้กันคนไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่าม ซึ่งการเดินเข้ามาในบริเวณนี้ของเด็กหนุ่มทำให้แสดงถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่ถึงไม่อยากจะเสียมารยาทแต่ก็ต้องตามไปอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเดินมาถึงที่หมายจากการสังเกตเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้หยุดเดิน แล้วผายมือไปยังห้องหนึ่งที่มีตำรวจแต่งกายเต็มยศอยู่สองคนซึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่พร้อมกับเด็กหญิงเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันอีกสองสามคนอยู่
“นี่เด็กๆ มีใครรู้จักสามคนนี้ไหม?” เสียงสอบถามจากตำรวจนายหนึ่งเอ่ยขึ้นในขณะที่อีกนายกำลังจดบันทึกไปด้วย
“เอ่อ ไอ้……นี่เอง ผมเป็นเพื่อนสนิทของมันครับ คือผมเองก็กำลังจะบอกพอดีเลยว่า ในวันนั้นผมเห็นตัวฆาตกรด้วยครับ รวมถึงเพื่อนๆ ผมที่มาที่นี่ด้วย!” หนึ่งในเด็กชายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นกลัวแต่ก็จริงจังในสิ่งที่ตนกล่าวออกมา
“เอ่อ แล้วตัวฆาตกรน่ะ มีรูปพรรณสัณฐานยังไงเล่ามาซิจะได้จับคนร้ายได้สักที” ชายในเครื่องแบบสีกากีกล่าวขึ้นอย่างเร่งรีบ
“มัน…มันไม่ใช่คนครับ มันเป็น….หะ…เห้ยยยย!” เสียงตกใจจากเด็กชายคนนั้นดังขึ้นมาทำให้เหล่าเด็กๆ หันมามองตามแล้วร้องตะโกนออกมาด้วยสีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าหนุ่มน้อยชมยืนดูอยู่หน้าห้องโดยพินิจพิเคราะห์อย่างใจเย็นก็รู้ได้ในทันที เนื่องจากเขาไม่เห็นเงาในกระจกของกลุ่มตำรวจพวกนั้นเพราะในห้องมีกระจกบานใหญ่ตรงมุมห้องสะท้อนมาเห็นเด็กๆ แต่ก็แปลก ตรงเงาของเหล่าตำรวจกลับไม่ปรากฏให้เห็นเลยเมื่อเขาหันหน้ามามองยังตำรวจนอกเครื่องแบบตรงหน้ายิ่งชัดเจนกว่าเดิมซึ่งในมุมมองเขาเจ้าเด็กคนนั้นเวลานั่งคุยกับตำรวจที่หันหน้าหาตนเองแต่หันหลังให้กระจกพอมองกระจกตามปกติก็จะเห็นเงาด้านหลังตำรวจซ้อนทับกับตนกลับกลายเป็นว่าเห็นเพียงเงาหน้าของตนเองมิได้เห็นตัวของคนในเครื่องแบบที่คุยอยู่กับเขาเลย
“เหอะ เหอะ มา~ตาม~หา~ฆาตกร~กัน…..น้า~” น้ำเสียงเย็นยะเยือกลงตาเบิกโพลงมีเลือดไหลออกมาจากตาหูจมูกปากอย่างน่ากลัวมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ
เจ้าหน้าที่กลายสภาพเป็นตัวน่าเกลียดน่ากลัวพร้อมทั้งวิ่งไล่เหล่าเด็กๆรวมถึงตัวชมผู้ยืนตะลึงกับภาพตรงหน้า ขณะเดียวกันเด็กในห้องก็วิ่งฝ่าเหล่าตำรวจที่กำลังกลายสภาพจากมนุษย์เป็นภูติผี เจ้าหนุ่มก็ได้วิ่งกลับไปทางที่เขาเข้ามา จากนั้นตัวของชมได้วิ่งเข้าไปหลบในห้องเก็บรางวัลซึ่งมีถ้วยทองถ้วยเงินเหรียญต่างๆ อย่างมากมายเป็นตู้หลากหลายขนาดเพื่อไว้เก็บสิ่งของเหล่านั้นโดยเฉพาะจนกระทั่งเขาได้ไปเห็นถ้วยรางวัลหนึ่งที่สะดุดตาเขาเข้า ตัวถ้วยรางวัลมีสีทองด้านบนถ้วยประดับด้วยรูปปั้นคนเตะฟุตบอลขนาดเล็กสีทองและฐานตั้งถ้วยรางวัลสีน้ำเงินจารึกคำว่า “อันดับหนึ่งฟุตบอลเยาวชนระดับโรงเรียน 2011”
‘เฮ้อ~ ถ้วยที่พวกเราช่วยกันคว้ามาตามความฝันของเรานี่นาจะว่าไปก็คิดถึงจริงๆนะ เด็กสองคนที่เสียไปตอนนั้นที่เตะฟุตบอลด้วยกันก็แค่ป.สี่เอง ไม่น่าเลย…ไอ้บูม ไอ้พี ยิ่งเจ้าเด็กหัวน้ำเงินที่ไปก่อนเพื่อนเนี่ยนะเป็นกองหน้าบุกตะลุยไปด้วยกันแล้วทำให้ชนะในตอนนั้นก็ยิ่งคิดถึงแหะเจ้าเด็กอนาคตไกลคนนั้นไม่น่าจากไปเลย เฮ้อ~….ไอ้จินเอ้ย’ เสียงภายในใจของไอ้หนุ่มนักฟุตบอลที่รำลึกความหลังถึงคนที่เตะฟุตบอลมาด้วยกันในช่วงประถม
ตำรวจผีทั้งห้าตัวต่างไล่ล่าเหล่าเด็กผู้โชคร้ายไปทั่วทั้งอาคารเรียนแม้ว่ามันจะไม่ได้กว้างขวางมากนักแต่ก็มีห้องหับมากมายพอจะหลบซ่อนตัวจากสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้อยู่บ้าง เจ้าหนุ่มชมคว้าเอาถ้วยรางวัลขนาดใหญ่มาไว้ในมือกำแน่นพร้อมจะขว้างหรือทุบตีสิ่งที่มุ่งเอาชีวิตเขาแต่ความห้าวที่ผุดขึ้นมาในหัวกลับหายไปในพริบตา เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
“อ๊าาาาาาา!!”
“โอ้ยยยยย!!”
“อ้ากกกกก!!”
เสียงที่เปล่งออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวมากกว่าเสียงใดที่เจ้าหนุ่มน้อยชมเคยฟังมาตลอดชีวิตเทียบมิได้เลยกับเมื่อครู่ เขายังคงกำถ้วยรางวัลที่คว้ามาไว้แน่นแล้ววิ่งออกมาหลบตามมุมต่างๆ ในขณะเดียวกันก็ฟังเสียงที่เจ้าพวกตำรวจผีพูดคุยกัน ด้วยความลุ้นระทึกจนหัวใจแทบจะระเบิดออกให้ได้ แต่ก็ต้องอุดปากตัวเองเพื่อระงับเสียงลมหายใจไม่ให้ดังเกินไปจนเจ้าพวกนั้นได้ยินเสียงของตัวเขาเข้าเพื่อหลบซ่อนตัวจะได้ไม่ต้องพบกับความตายอันน่าสยดสยอง เมื่อเขาได้ฟังสิ่งที่พวกตำรวจผีพูดคุยกันยิ่งทำให้ทั้งหลายๆ อย่างกระจ่างชัด
“หึ่ยยย!!~ ไอ้เด็กน้อยคนนั้นเราปล่อยให้หลุดมือจนได้~”
“แบบนี้นายท่านจะต้องโกรธมากแน่ ๆ แต่ข้าได้กลิ่นของมนุษย์แถว ๆ นี้~”
“รีบหาเถอะน่า~ ถ้านายท่านมาถึงเมื่อไหร่เจ้าเด็กนั่นมันจะทรมานมากกว่านี้ต้องรีบจัดการหักคอมันซะ~”
เสียงพูดคุยของสามอมนุษย์ทำให้หัวใจของเจ้าชมแทบจะหยุดนิ่งราวกับถูกแช่แข็งทว่ามันทั้งสามก็ลอยผ่านหน้าที่ซ่อนของหนุ่มน้อยชมไปอย่างรวดเร็วและพุ่งตรงไปยังบริเวณอื่นที่อยู่ใกล้ห้องเก็บรางวัล เห็นดังนั้นเจ้าชมจึงค่อยๆเดินตามไปพลางคิดวิเคราะห์สาเหตุของเรื่องที่เขาต้องประสบพบเจอ สิ่งที่วิเคราะห์ได้ในขณะนี้มันช่างไม่สมเหตุสมผลเสียเลย เพราะสภาพศพของเด็กทั้งสามคนคือโดนสัตว์ร้ายขย้ำจนไม่เหลือชิ้นดีตามข่าวที่ประกาศ แต่ผีพวกนี้กลับต้องการเพียงแค่หักคอพวกเด็กที่ล่อลวงมายังที่นี่จากการเหลือบไปมองสภาพศพเด็กทั้งสามคนที่มาใหม่นอนคอพับไปอีกทางเลือดไหลออกจากทางปากจมูกตาถลนออกมาจนไม่น่าดูเท่าใดนัก เขาจึงค่อยๆเดินหลบออกมา แม้จะมีความสงสัยเต็มไปหมด แต่สิ่งที่เขาเห็นหลังจากนี้จะทำให้เขาหยุดหลบซ่อนตัว จะเริ่มขึ้นแล้ว!!
“อะไรเนี่ย!!?? ไอ้หนุ่มมาทำอะไรตรงนี้มานี่เร็ว ที่นี่มันอันตรายนะ” ชายชราแต่งตัวคล้ายภารโรงที่คล้องสร้อยพระได้เดินมาพบเจ้าหนุ่มชมโดยบังเอิญ
“ละ…ลุงตู่ ลุงมาทำอะไรที่นี่ครับ!?” ด้วยความตกใจของเจ้าหนุ่มชมทำให้อุทานออกมาเสียงค่อนข้างดัง
แต่ก่อนจะถูกเผยที่ซ่อนด้วยน้ำเสียงตกใจของตนก็ได้ถูกมือหนาและสากปิดปากเอาไว้แล้วพามายังห้องหนึ่งที่อยู่ตรงซอกหนึ่งมีป้ายหน้าห้องเขียนว่า “ห้องภารโรง” ชายชราได้ลงกลอนปิดประตูจากนั้นนำแผ่นยันต์สีแดงซึ่งมีอักขระแปลกๆมาแปะเอาไว้บนบานประตูเพื่อกันไม่ให้วิญญาณเข้ามาได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับโรงเรียนนี้ครับลุงตู่” ร่างกายที่ยังคงสั่นเทา เอ่ยถามขึ้น
ด้วยความสงสัยที่พุ่งสูงเหนือกว่าความหวาดหวั่นจากสิ่งที่พบเจอมา
“เออๆ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เกิดจากวิญญาณที่หลุดออกมาจากโลกวิญญาณเพื่อมาทำการดูดกลืนพลังชีวิตที่ในร่างกายของมนุษย์ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยเอาบันทึกของข้าไปอ่านเองเหอะ!” หลังกล่าวจบชายหัวหงอกก็ได้เอื้อมมือไปเปิดตู้ข้างเตียง
เผยให้เห็นสิ่งของมากมายมีทั้งหนังสืออาคมเครื่องรางของขลังที่ชายชราเก็บไว้ในห้องพักภารโรงสร้างความตกตะลึงให้กับเจ้าหนุ่มชมเป็นอย่างมาก จากนั้นตัวของลุงตู่ก็ให้เจ้าชมทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ จากการอ่านบันทึกของตัวแกเอาเอง
***บันทึกของลุงตู่***
“ให้ตายซิวะ!! ไม่อยากจะเชื่อเลยที่เจ้าหน้าที่ที่มาจัดการสิ่งเหนือธรรมชาติได้เตือนเราเอาไว้แม้ว่าจะแฝงตัวอยู่ในโรงเรียนนี้มานานเพื่อดักจับวิญญาณร้าย แต่ไม่อยากเชื่อว่าจะมันแข็งข้อขึ้นทุกวัน นอกจากมันจะไม่แค่หลอกหลอนเพื่อดูกลืนอารมณ์ด้านลบของมนุษย์แล้ว มันกลับเริ่มดูดกลืนวิญญาณของมนุษย์ ด้วยการฆ่ามากขึ้น ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนผีตายโหงผีตายห่าที่มีความพยาบาทสูงจนมันต้องดูดกลืนพลังชีวิตเพื่อทำให้ตนเองมีพลังมากพอที่จะหลุดพ้นจากตรงนั้นได้แต่ก็มีจำนวนน้อยมากเพราะส่วนใหญ่วิญญาณเหล่านี้จะมีหมอผีหรือยมทูตมาปราบพยศและพาลงนรกไปเกือบทุกตน แต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้วิญญาณมันดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ และออกอาละวาดมากขึ้น แม้บ้านเมืองในตอนนี้จะอยู่ในยุคใหม่ก็ตาม เอาละหลักฐานที่ตำรวจหาได้จากการที่ไปสอดส่องแอบดู…” จากนั้นก็ไม่มีการเขียนบันทึกเพิ่มเติมอะไรอีก
“อะไรเนี่ยลุงตู่!! มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่มีใครมาจัดการเลยมีคนล้มตายไปหลายคนแล้วนะ!” เจ้าชมพูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่บีบคั้นพร้อมทั้งน้ำตาไหลออกมาอย่างเจ็บใจ
“ใจเย็นก่อนสิไอ้ชมเอ้ย พวกหน่วยราชการลับที่ต้องมาจัดการตอนนี้กำลังมา แต่ว่ามันคงจะมาถึงภายในคืนพรุ่งนี้ ถ้าหากเรายังยืนหยัดอยู่ได้จนถึงเวลานั้นคราวนี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วแต่มีอย่างนึงที่ ข้าขอให้เอ็งช่วยอะไรหน่อยสิ” หลังพูดจบชายหนุ่มเหลือน้อยผมสีเทาสะท้อนแสงหยิบยันต์ สายสิญจน์ ขวดน้ำมนต์ ไฟแช็ค เทียนขาวและสุดท้ายก็คือไฟฉายแรงสูงที่สามารถปรับเป็นแสงยูวีได้
“เอาละฟังให้ดีนะไอ้ชม สิ่งที่ข้าขอให้เอ็งทำสำคัญมากเพื่อให้โรงเรียนนี้ยังปลอดภัยสำหรับเราจนถึงตอนเช้า เอาไอ้นี่ไปอ่านให้ขึ้นใจแล้วทำตามนี้ซะ” พอพูดจบเขายื่นกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งให้เจ้าชมจากนั้นร่างโย่งของชายชราทรุดนั่งลงและก้มหาอะไรบางอย่าง ไม่นานนักก็พบยาเม็ดได้กลืนลงคอตนเองทันทีแล้วนั่งพักต่อ
เนื้อความในกระดาษที่ดูเก่าซอมซ่อจวนจะขาดรุ่งริ่งเต็มทีได้เขียนเอาไว้ดังนี้ บทหัวกระดาษเขียนไว้ว่า วิธีสะกดวิญญาณร้ายให้ปฏิบัติทางข้อบังคับเหล่านี้ห้าข้อให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ข้อที่หนึ่ง ให้รีบวิ่งแล้วนำสายสิญจน์ขึงเสาต้นใหญ่แต่ละมุมจนครบทั้งสี่มุมล้อมรอบตัวเองซึ่งจะมีพื้นที่กลางโถงห้องประชุมพอดี สถานที่นี้อยู่ใจกลางของโรงเรียนแน่นอนว่าหาไม่ยาก
ข้อที่สอง นำเทียนสีขาวไปจุดและปักลงสถานที่หลักทั้งสี่ของโรงเรียนโดยจะมี บริเวณหน้าโรงอาหารทางทิศตะวันออก เรือนเพาะปลูกทางทิศตะวันตก อาคารเรียนหลัก A ทางทิศเหนือ สุดท้ายก็ลานจอดรถทางทิศใต้ซึ่งสามารถเดินไปได้ง่ายๆขอแค่จำทิศทางของห้องประชุมที่เพิ่งทำพิธีกรรมในข้อแรกได้ ถ้าออกนอกหอประชุมตรงทางเข้าก็คือทางไปทิศใต้ ส่วนอาคาร B C D ตั้งอยู่รอบนอกถ้าไม่จำเป็นอย่าไปเด็ดขาด!!
ข้อที่สาม หลังจากจุดเทียนสำเร็จทุกที่ตามในข้อสอง ให้เดินกลับไปยังสถานที่เดิมและนำยันต์ไปแปะที่ประตูหอประชุมหลังจากนั้นนอนอยู่ข้างในจนเช้า แต่ระหว่างทางกลับถ้าหากเป็นเวลาย่ำค่ำเมื่อไหร่ ให้รีบปิดประตูในทันที!! ถ้าหากโชคดีมากพอเอ็งก็จะรอดมาถึงข้อนี้ ส่วนข้อสี่และห้าก็ไม่ต้องสนใจ ขอให้นอนในหอประชุมอย่างสบายได้
ข้อที่สี่ ถ้าหากถึงเวลาเที่ยงคืนแล้วไม่สามารถจุดเทียนทั้งหมดได้ทันหรือกลับเข้าหอประชุมไม่ทันตามข้อสามก็ขอให้รู้ไว้ว่า อย่าได้มาหาข้าที่ห้องพักภารโรงเด็ดขาด!! เพราะถ้าหากข้าเปิดประตูซี้ซั้วมิหวังตายกันทั้งคู่แน่ ขอให้เอ็งจงพยายามวิ่งออกไปตะโกนขอความช่วยเหลือด้านนอกโดยใช้ไฟฉายยูวีฉายใส่พวกวิญญาณร้ายแต่ถ้าเอ็งไม่ไหวจริงๆข้าก็มีของเตรียมให้ในข้อที่ห้า
ข้อที่ห้า ถ้าเอ็งมาถึงข้อนี้แล้วถือว่านี่จะเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของเอ็ง! จงไปที่ห้องครูใหญ่ที่อยู่ชั้นหกของอาคารเรียนหลักหรือตึก A แล้วไปเปิดเอากล้องถ่ายรูปของครูใหญ่มาเสีย!เพราะแสงแฟลชจะทำให้มันหยุดชะงักส่วนตัวกล้องก็จะดูดวิญญาณกักขังเอาไว้ในฟิลม์ จงไล่ถ่ายพวกมันให้หมด แต่ถ้าพวกมันมีพลังกล้าแข็งมากก็ให้ถ่ายมันซ้ำไปซ้ำมาจนวิญญาณเข้ามาอยู่ในกล้องให้ได้
จากนั้นเจ้าก็จะรอดตายเพียงแต่เหนื่อยหน่อยนะ ข้าจะให้การสนับสนุนโดยการบอกเอ็งผ่านลำโพงกระจายเสียงก็แล้วกัน
หลังจากที่อ่านจนหมดแล้วเล่นทำเอาชมหืดขึ้นคอเลยทีเดียวเพราะมันเป็นอะไรที่ยากมากในการทำตามกฏที่ว่าไว้เพียงแต่ในตอนนี้เวลาล่่วงเลยมาถึงยามโพล้เพล้แสงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆทำให้เขาเริ่มปฏิบัติตามกฏข้อแรกในทันที เจ้าหนุ่มน้อยเร่งหยิบย่ามซึ่งเต็มไปด้วยของเหล่านั้นแบบจำใจ ต้องย่างก้าวไปเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอดในค่ำคืนนี้เพราะพวกผีต้องเอาชีวิตตนเองและจะทำให้ไม่ได้ออกจากที่นี่ได้ง่ายๆแน่ เด็กหนุ่มเปิดประตูอย่างระแวดระวังพร้อมทั้งมองซ้ายมองขวาแล้วออกจากห้องภารโรงด้วยความเร่งรีบโดยพยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อให้ถึงหอประชุมได้ทันเวลา
‘เฮ้อ!~ เมื่อไหร่จะถึงวะเนี่ย!?’ เจ้าชมพูดสบถในใจส่อถึงความเหนื่อยยากจากการเดินย่องด้วยความเร็วพร้อมทั้งสะพายย่ามที่เต็มไปด้วยของเยอะแยะ
ในภารกิจแรกสำเร็จได้อย่างง่ายดายจากการที่เอาสายสิญจน์ขึงเสาต้นใหญ่แต่ละมุมจนครบทั้งสี่มุมตามที่ระบุในกฎไว้แต่สิ่งที่ตัวของเขาวางแผนเอาไว้ คือการนำยันต์ไปวางไว้ใกล้ขอบประตูเพื่อเวลาตนกลับมาหยิบฉวยมาแปะให้ทำตามกฎข้อที่สาม แต่เขาก็ต้องหยุดชะงักลงจากการได้ยินเสียงของเจ้าตำรวจผีกำลังย่างกรายเข้ามายังบริเวณหอประชุมที่เขาเพิ่งทำภารกิจแรกเสร็จได้ไม่นาน
"โอ้ยยยยย! บ้าเอ้ย!! มันรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ทำไงดีวะเนี่ย!" เจ้าหนุ่มน้อยสบถด้วยอารมณ์หวาดกลัว ความเครียดเริ่มเข้าครอบงำ
เงาทะมึนทั้งสามร่างก็ลอยมายังบริเวณลานด้านหน้าหอประชุมซึ่งเป็นทางออกทางเดียวแล้วพูดขึ้น
"เห้ยไอ้หนู!! ออกมาเถอะไม่อยากรู้หรอว่าเพื่อนแกตายยังไง? " เสียงอันเย็นยะเยือกกล่าวคำพูดอันคมกริบกรีดบาดลึกในหัวใจจนแทบจะทำให้หยุดเต้น
ความบ้าบิ่นในหัวใจของเจ้าชมเริ่มพุ่งสูงความคิดความต้องการทราบในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าพวกวิญญาณร้ายเหล่านี้มีรูปลักษณ์แบบตำรวจ? ทำไมต้องมาทำร้ายเข่นฆ่าผู้คนเพื่อต่อชีวิตตนเอง? นายเหนือหัวของเจ้าพวกนี้เป็นใครกัน?
จากที่มันพูดคุยตอนไล่ล่าตนมันเป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่นิดเดียวนี่ยังไม่นับรวมเรื่องเกี่ยวกับรุ่นน้องที่เขาชื่นชมในตอนพบถ้วยรางวัลแล้ว แต่สิ่งที่เขาต้องทำนอกจากการไขความสงสัยมากมายแล้วต้องเอาชีวิตรอดจากเหล่าวิญญาณร้ายตรงหน้าด้วย
"เอาละ! ไฟฉายของฉันดูหน่อยซิจะยิงพวกมันจนล่าถอยไปได้ไหม! ย้ากกกก!!"
จากนั้นเจ้าหนุ่มบ้าดีเดือดได้วิ่งพุ่งไปยังประตูหอประชุมเปิดไฟฉายยูวีเข้าใส่เจ้าผีสามตัวนั้นโดยไม่เกรงกลัวพวกมัน เจ้าตำรวจผีโชกเลือดสกปรกเลอะเทอะสภาพไม่น่าดูเมื่อต้องกับแสงจากไฟฉายก็ร้องลั่นทรุดลงกับพื้นดิ้นทุรนทุรายทำให้ชมวิ่งผ่านไปได้อย่างง่ายดายเมื่อถึงสถานที่แรกคือหน้าโรงอาหารทางทิศตะวันออกไม่นานนักเขาลงมือจุดเทียนขาว
แต่ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น!!
ซ่าาาาาาาาา!!!
"ไอ้บ้าเอ้ยยยยย!!!!" น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวตะโกนดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝนและลมพัดโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
เขาต้องรีบนำเทียนมาเช็ดกับเสื้อของตนจนแห้งพอที่จะจุดได้ก็เริ่มลงมือปักวางไว้ในมุมอับลมเขาก็ต้องรีบทำเนื่องจากเวลาในยามนี้เริ่มเข้าหัวค่ำแล้ว ฝนที่ตกโปรยปรายอย่างหนักหน่วงเป็นเหมือนกรงขังตัวเขาไม่ให้ไปยังสถานที่ตามข้อสองได้โดยง่าย
‘อ้าาาา!! โรงอาหารเหรอ? จะว่าไปมีอะไรกินไหมเนี่ยให้ตายเหอะวันนี้วิ่งหนีผีจนเหนื่อยตั้งแต่เย็นเลย’ แม้จะเป็นคำพูดในใจแต่ก็สื่อถึงความหิวโหยได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เขาเดินไปเปิดช่องแช่แข็งของตู้เย็นแล้วทำการหยิบเอาสปาเกตตีคาโบนาราสำเร็จรูปออกมาทำการแกะแล้วนำไปเข้าตู้ไมโครเวฟรอเวลาไม่นานนักก็พร้อมจะทานได้ นอกจากนี้ยังมีขนมนมเนยมากมายให้เขาได้กินเพื่อเติมพลังแม้จะจำใจต้องอยู่ที่นี่ไปอีกเป็นชั่วโมงซึ่งผลของลมเย็นที่โชยเข้ามาพร้อมกับหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนพร้อมเอนกายจากความเหนื่อยล้าสะสมทำให้เขานอนสลบลงจนเวลาล่วงเลยไป
"เห้ย!! แย่แล้วนี่มันสามทุ่มกว่าแล้วนี่หว่า!! รีบไปดีกว่า..." เสียงตื่นตระหนกดังขึ้นหลังจากที่ตนฟื้นคืนสติมาได้จากและมองยังนาฬิกาที่ติดตั้งอยู่มุมห้องอีกด้านหนึ่ง
เด็กหนุ่มลุกขึ้นด้วยความรวดเร็วมองไปยังประตูทางเข้ากลับพบผ้ายันต์ขาดรุ่งริ่งวางไว้กับพื้น เมื่อคิดว่าตนจะต้องทำภารกิจต่อก็สาวเท้าด้วยความเร็วสูงซึ่งความสามารถในการวิ่งที่รวดเร็วนี้มาจากการฝึกซ้อมฟุตบอลอย่างหนักหน่วงจึงมีกำลังขาที่ค่อนข้างแข็งแรงกว่าคนทั่วไปมีทั้งความอึดถึกทนในการวิ่งอีกทำให้เขาสามารถไปอีกสองสถานที่คือลานจอดรถทางทิศใต้กับเรือนเพาะปลูกทางทิศตะวันตกได้โดยง่ายและจุดเทียนปักยังบริเวณไม่มีลมพัดผ่านง่ายและแล้วเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง
"เออวะ!? เรานอนไปตั้งนานในโรงอาหารทำไมผีมันไม่มาหาหรือฆ่าเราเลยวะ?" แต่ก่อนที่เขาจะสงสัยอะไรไปมากกว่านี้ก็เห็นว่าบนเพดานประตูเรือนเพาะปลูกที่เขาเพิ่งเข้ามาทำให้ยิ้มออกมา
ปรากฏว่าเป็นผ้ายันต์ขนาดเล็กสีแดงเปล่งแสงให้เขาเห็นทำให้ทราบได้ในทันทีว่ามันเป็นของลุงตู่ที่นำมาติดเอาไว้ในแต่ละสถานที่เพื่อคุ้มกันตัวเขาและเทียน แต่นึกย้อนไปว่าที่ไม่ให้หลบในสถานที่นี้นานมากเพราะคงจะสู้พลังของเจ้าผีร้ายได้เพียงระยะหนึ่งก็แล้วแต่ว่ายันต์จะช่วยได้นานเท่าใดแต่อย่างที่คิดไว้คือยันต์ที่อยู่โรงอาหารคุ้มกันไว้ได้เพียงสองชั่วโมงเศษเท่านั้นเองและแล้ว...
"ฮาโหล!! ฮาโหล!! เห้ยไอ้หนูชมเอ้ยข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องให้ทำอีกหน่อยน่ะ เอ็งช่วยไปเอาเอกสารบันทึกห้องครูใหญ่ในอาคารเรียนหลักหรือตึก A ถ้าเป็นไปได้ก็เอามารอไว้ในห้องประชุมในภารกิจที่สามนะ!" เสียงอันก้องกังวาลของชายชราที่ออกมาจากลำโพงในโรงเรียนซึ่งถูกเปิดใช้งานได้อย่างไรก็ไม่ทราบได้
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญต้องทำมันเหมาะเจาะกับความต้องการของตนเองในการทำภารกิจขั้นสุดท้ายคือการจุดเทียนที่ตึก A พอดีทำให้เขามุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จเพื่อที่เขาจะรอดตายจนกระทั่งเขาวิ่งฝ่าพื้นดินที่เปียกแฉะอากาศชื้นกระจายฟุ้งรอบๆกลิ่นไอดินหอมหวนก็โชยเข้าจมูกเนื่องด้วยโรงเรียนเบญจานุสรณ์แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองย่านมีนธานีแม้นักเรียนจะมีจำนวนมากซึ่งก็ติดกับพื้นที่เกษตรกรรมของชุมชนมากมายมีทั้งเรือกสวนนาไร่รอบตัวโรงเรียนกับชุมชนเมืองนี้ ความเย็นของดินฟ้าทำให้หายเหนื่อยหอบอย่างรวดเร็วจนมาถึงตึกอาคารเรียนที่หมายตาได้สำเร็จแต่ตามสูตรสำเร็จอย่างมารไม่มีบารมีไม่เกิดดันมาจนได้!!!
“แฮ่!! ไอ้หนูน้อยมาให้หักคอซะดีๆ~”
มีผีตำรวจตนหนึ่งลอยมาพบเจอจนทำให้ตนหยิบไฟฉายมาสาดส่องแสงยูวีเข้าใส่มันจนล่าถอยไปแต่ก็ทำให้วิญญาณอีกสองตนรับรู้ในทันทีว่าพวกของมันเพลี้ยงพล้ำแล้วตนหนึ่ง เจ้าชมคิดคำนวณไว้ก่อนแล้วจึงทำการซอยเท้าให้เร็วขึ้นอีกความว่องไวปราดเปรียวย่อมถึงที่หมายโดยง่าย การจุดเทียนเล่มสุดท้ายทำได้โดยง่ายไร้อุปสรรคแต่วิญญาณในเครื่องแบบอีกสองตนไล่ติดตามมาเร็วขึ้นจากสองทิศทางที่ต่างกันซึ่งสร้างความหวั่นวิตกแก่หนุ่มน้อยผู้เร่งรีบการพิชิตภารกิจสุดท้ายของตน ยมทูตในรูปแบบผีร้ายกล้ำกรายเข้ามาทุกย่างก้าวแต่แล้ว…
“หึ ๆ ตายซะไอ้เด็กเวร อ้ากกกกก!!” เสียงกรีดร้องอันเกิดมาจากเปลวเพลิงอันร้อนแรงลุกไหม้เมื่อมันเข้าใกล้ตึกเรียนหลัก
ชมใช้จังหวะที่มันไม่อาจเข้ามาได้เพราะยันต์ที่ลุงตู่แปะเอาไว้ช่วยชีวิตของตนได้เพียงไม่นานจุดเทียนได้สำเร็จกลับเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ควันอันมีรูปอักขระเลขยันต์ลอยล่องขึ้นจากเปลวเพลิงเทียนอาคมจวบจนสูงเทียมเมฆซึ่งเปลี่ยนรูปแบบเป็นอักขระเรืองแสงสีแดงน่ากลัวบนฟ้าจนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังตามลำโพง
“ไอ้หนูเอ็งรีบไปเอาเอกสารในห้องครูใหญ่มาได้แล้วเว้ย อีกไม่นานใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เอกสารอยู่ในซองสีแดงมีตราประทับรูปค้างคาวหาให้เจอละเอ็งอย่าได้เปิดอ่านเชียวนะ!!” น้ำเสียงจริงจังย้ำคำสั่งสำคัญดังขึ้นสร้างแรงกระตุ้นให้เขาไปต่ออย่างไม่หยุดนิ่ง
หนุ่มน้อยสาวเท้าก้าวขึ้นบันไดด้วยความรวดเร็วในเวลาไม่นานก็ถึงห้องครูใหญ่ ความโชคดีได้ปรากฎขึ้นเนื่องด้วยมีคนมาปลอดล็อคห้องให้ก่อนหน้าเขาจะมาเป็นการเตรียมพร้อมรอไว้แล้วก็เข้าไปหาพวงกุญแจไขตู้เอกสารแขวนไว้ตรงที่เก็บอย่างรวดเร็วเพื่อไขนำเอกสารออกมาตามคำบอกกล่าวของชายชราอย่างรวดเร็ว ไม่นานพบซองสีแดงน่าประหลาด
“เอ…มันน่าแปลกนะ? ไอ้เจ้าซองนี่เราเปิดอ่านดูดีไหมน้า เออใช่เอากล้องมาจัดการพวกผีแบบลัดขั้นตอนดีกว่าน่าจะทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นฮ่าๆ!!” หนุ่มน้อยหยิบกล้องตามที่กฏข้อห้าบอกไว้เพื่อใช้เป็นอาวุธกักขังวิญญาณจากนั้นก็เร่งรีบเปิดเอกสารมาอ่านดูโดยไม่สนคำเตือนอันแสนจริงจังเลยแม้แต่นิดซึ่งมีเนื้อความว่า
นี่คือเอกสารลับจากครูใหญ่ถึงภารโรง ขอขอบใจที่แกได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมมหาอมรที่จะทำให้ชีวิตของแกดีขึ้นนะแต่อย่างนึงที่ฉันรู้คือแกเป็นหมอผีเก่าที่ทำพิธีสร้างร่างเนื้อให้กับนายท่านได้โดยง่ายแต่ขาดตรงที่ว่าไม่มีใครกล้าทำพิธีนี้เลยแม้แต่ตัวแกเองเพราะถ้าหากนายท่านได้มีร่างเนื้อคงหิวโหยมากแน่แท้ต้องกัดกินคนแรกที่เห็นแน่นอน ฉันพอเข้าใจว่ามันเป็นอะไรที่เสี่ยงเพราะการประกอบพิธีนี้ต้องมีเขตอาคมจากสายสิญจน์ขึงไว้รอบๆที่กึ่งกลางสถานที่ที่มีไอพลังงานวิญญาณซึ่งก็คือเด็กที่โดนนายท่านจัดการเขมือบร่างจนศพอยู่ในสภาพสยดสยองแบบที่ข้าไม่เคยเห็นเลย ต้องล่อลวงพวกเด็กมาเพิ่มจนได้จำนวนเกินห้าคนแต่ถ้าหากแผนแตกคือวิญญาณที่แกเลี้ยงมันอยากฆ่าเพื่อดูดพลังวิญญาณไว้ใช้เองก็พยายามหาเหยื่อมาเพิ่มให้นายท่านเขมือบละกัน และเมื่อพิธีกรรมเสร็จสิ้นตอนแปะยันต์ตรงเขตอาคมเป็นการสิ้นสุดพิธี ในตอนนี้ข้าขอไปพักร้อนและหาทางแก้ตัวกับไอ้พวกตำรวจก่อนขอให้เอ็งพยายามทำพิธีกรรมจนสำเร็จด้วยละไม่ว่าจะต้องใช้วิธีล่อลวงใครมาทำแทนก็ตาม เข้าใจไหม?
“ฮะ….เฮ้ยยยย!! ไม่จริงงงงง!! ไม่จริงงงง!!” ความเงียบงันก็แล่นเข้าใส่ร่างของเขา หัวใจของเขาแตกสลายลงเป็นเศษฝุ่น สมองหยุดการทำงานชั่วครู่ด้วยความตกตะลึงในความชั่วร้ายของครูใหญ่และลุงภารโรงที่ชายหนุ่มเคารพนับถือทั้งสองคนตั้งแต่เรียนประถมอยู่ที่นี่มันช่างสร้างแผลใจให้เขามากมายเกินจะรับไหว
เมื่อเวลาผ่านไปไม่ทราบว่านานเท่าใดจากความเงียบสงบจากการช็อคก็ถูกแทรกโดยความโกรธเกรี้ยวเข้าครอบงำจิตใจของชมจากการที่พวกเขาต้องการทำพิธีกรรมเพื่อให้สร้างร่างเนื้อของอะไรบางอย่างที่อันตรายต่อผู้คนมากมาย เขาต้องสูญเสียรุ่นน้องและคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลยมาสิ้นชีพอย่างอนาถนอกจากนี้ก็รู้สึกผิดที่ตนเองโดนหลอกใช้ให้ทำพิธีกรรมนี้เองและตามที่บอกในเอกสารมันก็จะสำเร็จในไม่นานนักเขาต้องหาทางไปหยุดยั้งมันให้จงได้ เขาหยิบกล้องมาประทับที่มือเดินลงบันไดไปด้วยความคิดวนเวียนในหัวว่าตนต้องทำอย่างไรต่อ
‘เอ๋?…..แบบนี้ถ้าเราจะทำลายพิธีกรรมต้องใช้ยันต์นั้นไหมนะ อ๋อต้องเผาทิ้งเท่านั้นถึงแม้จะเริ่มก็ตามเราต้องหยุดมันให้ได้!!’ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเมื่อถึงชั้นล่างเขาก็เห็นผีตำรวจที่ดักรออยู่ทั้งสามตนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางคำรามแยกเขี้ยวดูน่าสะอิดสะเอียนแต่ความกลัวนั้นหามีผลไม่กับเขาเพราะด้วยอารมณ์โกรธจึงวิ่งออกไปถ่ายเจ้าวิญญาณร้ายทั้งสามตนในทันที
เมื่อมันถูกถ่ายภาพพร้อมกันทำให้ถูกดูดเข้ามาในกล้องและเมื่อนำฟิล์มออกมาพบวิญญาณที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ดูน่าพิศวงและเขาเก็บใส่ยังกล้องเหมือนเดิมแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังหอประชุม แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…
“อะไรวะนั่น!” เสียงอุทานที่มีอารมณ์ฉงนสงสัยในสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วมองจากหน้าประตูของหอประชุมปรากฎว่ามีวงแหวนสีดำทมิฬคล้ายหมอกควันปะปนไปด้วยพลังงานสีม่วงแดงน่ากลัวปกคุมร่างหนึ่งที่คล้ายกับมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์ลักษณะมีเขี้ยวยาว ตาแดง มีกรงเล็บยาวทั้งมือและเท้าสร้างความสะพรึงกลัวแก่เจ้าหนุ่มมากแม้ว่าจะกลัวเพียงใดแต่เขาก็หยิบฉวยยันต์ขึ้นมาก่อนที่เจ้าสัตว์ประหลาดจะเคลื่อนไหวและพร้อมที่จะวิ่งหนี
“เห้ยไอ้ชม!” เสียงชายชราดังขึ้นแล้วหยิบไม้เท้าหวดเข้าที่ใบหน้าของชมจนเลือดกลบปากออกจมูกแล้วตีซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งแต่เมื่อถูกตีไปไม่นานเจ้าหนุ่มก็ปัดป้องการโจมตีอันป่าเถื่อนของลุงตู่ผู้โฉดชั่วผู้นี้ได้
“โอ้ย! อ้ากก! หยุดนะไอ้เลวแกมันชั่วจริงนี่แน่!!” เขาสาวหมัดพุ่งเสยคางของชายแก่จนร่างลอยละลิ่วไปไกลเนื่องด้วยแรงฮึดมหาศาลไม้เท้าปลิวไปคนละทิศทาง
ร่างของไอ้แก่หงอกเลวระยำร่วงลงกับพื้นของประตูทางเข้าหอประชุมแล้วหายใจหอบรวยรินอย่างน่าสังเวชจนชมต้องเดินเข้าไปแล้วยกคอเสื้อดึงขึ้นมา ชมกระหน่ำซัดเข้าท้อง เข้าใบหน้าซ้ำไปสี่ห้าทีสลับไปมาจนไอ้เฒ่ามีแรงเหลืออยู่สามารถปัดป้องหมัดเขาได้ได้แต่เขากลับพลิกตัวใช้ลำแข้งเหล็กฟาดเข้าไปที่ลำตัวของมันจนร่างทรุดลงไปแล้วอ้วกมูกเลือดออกมา
“อัก…อ้อกกกก!!!” เสียงสำรอกมูกเลือดอันน่าสมเพชของชายชราฉากหน้าที่เป็นแค่ลุงภารโรงธรรมดาไม่มีความน่าสงสัยใดๆกลับกลายเป็นจอมขมังเวทย์ผู้ชั่วช้า
“ทำไมกัน! ทำไมแกถึงทำแบบนี้กับคนอื่นวะ!!ไอ้เลวกูหลงเคารพมึงมาตั้งหลายปีอยากได้อะไรวะถึงทำแบบนี้!!” น้ำเสียงเดือดดาลพร้อมกระหน่ำต่อยเตะซ้ำให้ตายอีกทีแต่ต้องระงับอารมณ์เอาไว้เพื่อรอฟังเหตุผล
“หึ ๆ เอ็งรู้ไหมข้าทำงานเป็นหมอผีมาก่อนจนมีพวกหน่วยงานลับที่จัดการพวกเรื่องผีสางนางไม้แทนจนข้าไม่อาจใช้วิชาหาเลี้ยงตนเองได้จนต้องมาทำงานกระจอกงอกง่อยเป็นภารโรงแต่พอครูใหญ่ที่ตั้งสมาคมที่เราบูชานายท่านที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าต้องการให้ใครมันจะโง่ไม่เอาวะ ทั้งเงินทองทรัพย์สมบัติและความเป็นอมตะ!!” เสียงพูดหนักแน่นจากการอดทนอดกลั้นกับสภาพสังขารตนที่เริ่มหายใจแผ่วเบาเพราะเจ็บหนัก
“แล้วไม่มีวิธีอื่นรึไงวะ! ที่ไม่ต้องเอาชีวิตคนอื่นมาแลกอย่างงี้! ฆ่าคนน่ะมันจะทำให้แกได้สิ่งที่ต้องการได้ไงเชื่อใครไม่เชื่อมาเชื่อผีเนี่ยนะ!!”
เจ้าหนุ่มกัดฟันกรอดพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปจัดการซ้ำยังร่างของคนชั่วช้าสามานย์แต่ความผิดปกติก็เกิดขึ้น ร่างที่ก่อตัวเริ่มเป็นรูปร่างมากขึ้นมีการขยับร่างกายหูตาจมูกปากจนแยกเขี้ยวคำรามออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัวซึ่งมีน้ำเสียงไม่คล้ายสิ่งใดที่มีอยู่บนพื้นพิภพแห่งนี้มันก็เริ่มเดินมาข้างหลังของชมใกล้เข้ามาเรื่อยเรื่อย และก็ทำให้ลุงตู่ยิ้มแสยะออกมาอย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย
“ไอ้ชม! ได้เวลาตายของมึงแล้ว!!” จากนั้นไอ้แก่ชั่วไม่รอช้าก็ทำการหยิบยันต์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมสุดท้ายแปะเข้ากับประตูที่ตนนอนทรุดตัวลงสร้างความหวั่นไหวแก่เด็กหนุ่มมากเพราะมันเป็นการสร้างกายเนื้อให้เสร็จสมบูรณ์แก่สัตว์ประหลาดตนนั้น
“ฮ่า! ฮ่า! ไอ้ชมมึงตายแน่!” คำเยาะเย้ยจากปากที่มีเลือดสีแดงไหมโชกชโลมตัว
ฮ๊ากกกกกกก!!! เสียงคำรามสร้างความปวดแสบแก้วหูได้อย่างมหาศาล
“หึ! เอานี้ไปกินย้ากกก!!” เด็กหนุ่มฉายไฟฉายเข้าใส่เจ้าตัวประหลาดอย่างไม่เกรงกลัวจากนั้นก็นำขวดน้ำมนต์มาราดใส่มันต่ออย่างรวดเร็ว
“อ้ากกกกกก! ไอ้มนุษย์!!!” เสียงร้องของมันดังก้องไปทั่วบริเวณสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงแก่ชมเป็นอย่างมาก
ทั้งสองสิ่งสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้กับอมนุษย์ตัวนี้ได้เป็นอย่างดีแต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ลุงตู่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายลุกพรวดพราดเข้าล็อคตัวเจ้าชมไม่ให้ขัดขืน แม้ว่าตัวชมจะเป็นนักกีฬาฟุตบอลที่เก่งกาจ แต่เนื่องจากความเหนื่อยล้าสะสมและเรี่ยวแรงอันมหาศาลของชายชราซึ่งมากเกินกว่าที่ตัวเขาคาดคิดไว้
“ปล่อยนะเว้ย! ปล่อยกู! ไอ้ลุงนี่!” จากนั้นศอกก็สับเข้าไปที่ใบหน้าชายแก่อย่างแรงจนเลือดกลบปากตาปูดโปนแต่ชายชราก็ยังไม่ยอมปล่อยตัวชมไปโดยง่าย
“แฮก!! แฮก!! นายท่านเอาเลยขอรับ!” ลุงตู่ที่หน้ายับเยินกัดฟันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเริ่มแผ่วเบาใกล้จะหมดแรงลงเต็มที
เจ้าปีศาจร้ายก็ย่างเท้าเข้ามาทีละก้าวอย่างช้าช้าจนถึงตัวของทั้งสองคนจนกระทั่ง…!?
“อย่าาา!!!”
ดวงตาแดงก่ำดุจไฟกาลผิวกายสีดำม่วงทะมึนเส้นเลือดปูดโปนเข้ามาใกล้ตัวจนได้ระยะพออ้าปากกว้างพบฟันแหลมคมขนาดใหญ่หลายซี่และได้ทำการฝังเขี้ยวลงไปที่คอของเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารด้วยแรงอันมากล้นจนหนุ่มน้อยกรีดร้องออกมา!!!
“อ้ากกกกกก!!!”
จากนั้นเจ้าปีศาจก็ได้ฉีกกระชากคอของเจ้าชมเกือบขาดลงมาห้อยต่องแต่งไปด้านหลัง ความอำมหิตยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น!!
ร่างกายของเด็กหนุ่มก็ถูกกรงเล็บขนาดใหญ่ฉีกกระชากลากเครื่องในออกมาจนเสื้อผ้าถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานของเลือดพร้อมกับเลือดได้สาดกระจายลงพื้นห้องประชุมจนดูน่าสะอิดสะเอียนแต่ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์กลับยิ้มแสยะออกมาด้วยสีหน้าระรื่น
“ฮ่า! ฮ่า! นายท่านขอรับเพียงเท่านี้ตัวของท่านก็จะได้ร่างสมบูรณ์แล้ว ฮึ…ฮึ….อ้ากกกก!!” สิ้นเสียงของเจ้าแก่โรคจิตได้ไม่ทันไรกรงเล็บของอมนุษย์ตัวใหญ่ก็แทงทะลุร่างของมันอย่างไร้ซึ่งความปราณีพร้อมกัดคอของมันจนขาดกระเด็นออกจากร่าง
เจ้าปีศาจร้ายก็สูบเอาเลือดภายในตัวของลุงตู่หมอผีชั่วช้าที่มีอักขระเลขยันต์ฝังไว้ในร่างกายแต่เป็นการสักแบบน้ำมันให้ไม่อาจเห็นได้โดยง่าย ทำให้ตัวของมันได้รับพลังอาคมจากตัวเจ้าเฒ่านี่มาจนร่างกายเริ่มกลับมาสมบูรณ์ ปีกลักษณะคล้ายค้างคาวยักษ์ของมันได้งอกออกมาจากแผ่นหลังพร้อมทั้งสยาย เล็บมือเล็บเท้ากลายเป็นสีชาดเส้นเลือดเรืองแสงสีแดงจนห้องที่มืดมิดกลับสว่างขึ้นจนดูน่าขนลุก
“ฮ่าาาาา!!! ในที่สุดข้าก็กลับมาอีกครั้ง! คราวนี้ข้าจะทำให้ท่านจอมปีศาจกลับมามีร่างเนื้ออีกครั้ง!!” เสียงพูดอันแสนแหบแห้งจนดูน่าสั่นประสาทของอมนุษย์กึ่งค้างคาวกล่าวขึ้น ด้วยน้ำเสียงอันดังก้องไปทั่วทั้งห้อง
หลังเจ้าปีศาจพูดจบก็ได้ครุ่นคิดไปสักพักหนึ่งจึงเดินไปรอบรอบแล้วเผลอเหยียบเข้ากับกล้องถ่ายวิญญาณที่ตกใกล้ร่างไร้วิญญาณของเจ้าชมซึ่งนั่นทำให้เกิดการปลดปล่อยวิญญาณร้ายของตำรวจทั้งสามตนออกมาแล้วพวกมันลอยอยู่เบื้องหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มไร้ชีวิตชีวาแต่น่าสะพรึงกลัว
“ฮ่า~ ขอบคุณนายท่าน~!” เสียงของตำรวจผีทั้งสามดังขึ้นมาหลังได้ออกจากกล้องที่กักขังพวกมันไว้
“หึๆ ไอ้โง่เอ้ย!! ทำงานยังไงให้พลาดจนโดนไอ้เด็กอมมือมาขัดขวาง แต่ไม่เป็นไรข้าจะสร้างบริวารเพิ่ม” คำพูดดุดันของมันตวาดขึ้น ทำให้พวกผีตำรวจสะดุ้งโหยง
จากนั้นก็ร่ายมนต์วิเศษพร้อมชี้นิ้วไปยังร่างไร้วิญญาณของทั้งศพสองที่สภาพเละเทะไม่มีชิ้นดี เกิดภาพกายทิพย์ปรากฏออกมาด้วยสภาพน่ากลัวคล้ายตอนตายเพียงแต่มีดวงตาสีม่วงแดงเรืองรองออกมาแทนดวงตาไร้ชีวิต
“พวกเจ้าทั้งสองคนจงฟังข้า! จงล่อลวงคนมาให้ข้าดูดวิญญาณเตรียมสร้างร่างเนื้อให้องค์เหนือหัว!” น้ำเสียงเจ้าปีศาจค้างคาวดังกังวานก้องอย่างน่าเกรงขามสั่งการข้ารับใช้ที่ตนเพิ่งสร้างจากมนต์วิเศษ
“ขอรับ~ นายท่าน~” คำกล่าวตอบรับของวิญญาณของเจ้าชมและลุงตู่ด้วยเสียงไร้ชีวิตกล่าวอย่างเชื่อฟัง
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น!?
เปรี้ยงงงง!! สายฟ้าฟาดผ่าลงหน้าหอประชุมพลันปรากฎร่างคนขึ้น
เสียงเท้ากระทบกับพื้นปูนดังก้องไปทั่วทั้งห้องประชุมปรากฎคนปริศนาสวมหน้ากากสีดำรูปร่างสูงโปร่งในมือถือขวานโบราณที่มีหัวเสือประดับที่คมมีลวดลายสีฟ้าตรงด้ามเป็นอาวุธ
“แกเป็นใครกัน!? มนุษย์เหรอ?!!” เจ้าปีศาจตะโกนถามบุคคลปริศนาตรงหน้าด้วยความฉงนงงงวย
“โธ่เอ้ย!! มาไม่ทันจนได้…ช่างเถอะฉันรู้ทุกอย่างที่แกอยากจะทำแล้ว ฉันแทรกแซงมากกว่านี้ไม่ได้ แต่ฉันทำแบบนี้ได้!” หลังจากที่ชายหนุ่มปริศนาพูดจบไม่ทันขาดคำก็ได้ยิงสายฟ้าออกจากขวานของเขาเข้าใส่ปีศาจจนตัวมันล้มลงพื้นอย่างแรงจนเสียงดังสนั่น
ร่างกายของอมนุษย์ถูกเผาไหม้ด้วยสายฟ้าจนร่างเกรียมไปทั้งตัวอย่างรวดเร็วมันทรุดตัวลงนอนแน่นิ่งลงกับพื้นอย่างน่าอนาถส่วนพวกผีก็กรูกันเข้ามาพร้อมเตรียมฉีกกระฉากร่างไอ้หน้ากากแต่ก็ไม่สามารถจับต้องร่างของชายคนนี้ได้เลย เนื่องจากเมื่อถูกตัวเมื่อใดก็จะเกิดกระแสไฟฟ้าช็อตทำให้ลอยกระเด็นไปไกล
“พี่ชม... ผมขอโทษที่ช่วยพี่ไม่ได้แต่ผมมีอะไรต้องทำก่อน เดี๋ยวอีกไม่นานจะมีคนมาปลดปล่อยพี่เองนะ” ชายหนุ่มสวมหน้ากากพูดพร้อมสะกดให้ผีเจ้าชมสงบลง
“จะ…......~” น้ำเสียงอันเยือกเย็นของวิญญาณเอ่ยขึ้น
จากนั้นชายปริศนาก็ชูขวานขึ้นฟ้าได้มีสายฟ้าผ่าลงมาที่ตัวเขาจากนั้นตัวของชายหนุ่มหายไปในพริบตาปล่อยให้พวกวิญญาณและเจ้าปีศาจนอนกัดฟันด้วยความเจ็บปวดพลางมองด้วยสายตาอาฆาตแค้น แน่นอนเรื่องราวยังไม่ได้จบลงแต่เพียงเท่านี้หรอกนะ…
........To Be Continue....
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ Jeeper_Tv ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Jeeper_Tv
ความคิดเห็น